เมนู

อรรถกถาสสปัณฑิตจริยาที่ 10


พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาสสปัณฑิตจริยาที่ 10 ดังต่อไปนี้ . บทว่า
ยทา โหมิ คือในกาลใดเราเป็น. บทว่า สสโก ความว่า ดูก่อนสารีบุตร
เราเที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ในกาลเมื่อเราเป็นสสปัณฑิต (กระต่าย). จริงอยู่
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงความเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของกรรมก็ยังบังเกิด
ในกำเนิดเดียรัจฉานเพื่ออนุเคราะห์สัตว์เดียรัจฉานเช่นนั้น. บทว่า ปวน-
จารโก
คือผู้เที่ยวไปในป่าใหญ่ ชื่อว่า ติณปณฺณสากผลภกฺโข เพราะ
มีหญ้า มีหญ้าแพรกเป็นต้น ใบไม้ที่กอไม้ ผักอย่างใดอย่างหนึ่ง และผลไม้
ที่ตกจากจากต้นไม้. บทว่า ปรวิเหฐนวิวชฺชิโต คือเว้นจากการเบียดเบียนผู้
อื่น. บทว่า สุตฺตโปโต จ คือลูกนาก. บทว่า อหํ ตทา คือในกาล
เมื่อเราเป็นกระต่าย เราสอนสหายมีลิงเป็นต้น. บทว่า กิริเย กลฺยาณปาปเก
คือในกุสลกรรมและอกุสลกรรม. บทว่า ปาปานิ เป็นบทแสดงอาการพร่ำ
สอน. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปาปานิ ปริวชฺเชถ คือท่านทั้งหลายจงเว้น
บาปเหล่านี้ คือฆ่าสัตว์ ฯลฯ มิจฉาทิฏฐิ. บทว่า กลฺยหาเณ อภินิวิสฺสถ
ได้แก่กรรมดี คือทาน ศีล ฯลฯ การทำความเห็นให้ตรง. ท่านทั้งหลาย
จงตั้งอยู่ในกรรมดีนี้ ด้วยความเป็นผู้มีกาย วาจา ใจ ของตนให้อยู่เฉพาะ
หน้า. อธิบายว่า จงปฏิบัติกัลยาณปฏิบัตินี้เถิด.
พระมหาสัตว์แม้อุบัติในกำเนิดเดียรัจฉานอย่างนี้ ก็เป็นกัลยาณมิตร
เพราะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยญาณ ทรงแสดงธรรมด้วยการให้โอวาทแก่สัตว์ทั้ง

3 เหล่านั้นผู้เข้าไปหาตามกาลเวลา. สัตว์ทั้ง 3 เหล่านั้นรับโอวาทของพระ-
มหาสัตว์แล้วก็เข้าไปยังที่อยู่ของตน. เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ พระโพธิสัตว์
มองดูอากาศ เห็นดวงจันทร์เต็มดวง จึงสอนว่าพวกท่านจงรักษาอุโบสถ
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
เราเห็นพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถ
จึงบอกแก่สหายเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบ-
สถ ท่านทั้งหลายจงตระเตรียมทานทั้งหลาย
เพื่อให้แก่ทักขิไณยบุคคล ครั้นให้ทานแก่
ทักขิไณยบุคคลแล้ว จงรักษาอุโบสถ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า จนฺทํ ทิสฺวา น ปูริตํ คือเราเห็นพระ-
จันทร์ยังไม่เต็มดวงอีกเล็กน้อยในวัน 14 ค่ำข้างแรม แต่ครั้นราตรีสว่าง
เวลาอรุณขึ้น ในวันอุโบสถ 15 ค่ำ จึงบอกแก่สหายทั้งหลายของเรามีลิง
เป็นต้นเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ. เพราะฉะนั้นพึงประกอบ บทว่า
อาจิกฺขึ เราได้บอกแล้วอันเป็นวิธีปฏิบัติในวันอุโบสถนั้นด้วยบทมีอาทิว่า
ทานานิ ปฏิยาเทถ ท่านทั้งหลายจงเตรียมทานทั้งหลายเถิด. ในบทเหล่านั้น
บทว่า ทานานิ คือไทยธรรม. บทว่า ปฏิยาเทถ คือจงเตรียมตามสติตาม
กำลัง. บทว่า ทาตเว คือเพื่อให้. บทว่า อุปวสฺสถ คือจงทำอุโบสถกรรม
ได้แก่ จงรักษาอุโบสถศีล. การตั้งอยู่ในศีลแล้วให้ทานย่อมมีผลมาก. เพราะ

ฉะนั้น เมื่อยาจกมาถึงพึงให้จากอาหารที่พวกท่านควรเคี้ยวกิน แล้วจึงกิน
ท่านแสดงไว้ดังนี้.
บทว่า เต สาธูติ สัตว์เหล่านั้นรับโอวาทของพระโพธิสัตว์ด้วย
ศีรษะ แล้วอธิษฐานองค์อุโบสถ. ในสัตว์เหล่านั้น ลูกนากไปฝั่งแม่น้ำแต่เช้า
ตรู่ด้วยคิดว่าเราจักหาอาหาร. ครั้งนั้นพรานเบ็ดคนหนึ่ง ตกปลาตะเพียนได้
7 ตัว เอาเถาวัลย์ร้อยไว้แล้วหมกด้วยทรายที่ฝั่งแม่น้ำไปหาปลาต่อไป ตกลง
ไปทางใต้กระแสน้ำ. ลูกนากสูดกลิ่นปลาคุ้ยทรายเห็นปลาจึงนำออกประกาศ
3 ครั้งว่า ปลาเหล่านี้มีเจ้าของไหม เมื่อไม่เห็นเจ้าของก็คาบที่เถาวัลย์วางไว้
ที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่าเราจักกินในเวลาอันควร. นอนนึกถึงศีล
ของตน. แม้สุนัขจิ้งจอกก็เที่ยวหาอาหาร เห็นเนื้อย่างสองชิ้น เหี้ยตัวหนึ่ง
หม้อนมส้มหม้อหนึ่ง ที่กระท่อมของตนเฝ้านาคนหนึ่ง ประกาศ 3 ครั้งว่า
อาหารเหล่านี้มีเจ้าของไหม ครั้นไม่เห็นเจ้าของก็เอาเชือกที่ผูกหม้อนมส้ม
คล้องคอ คาบเนื้อย่างและเหี้ยวางไว้ที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่า
จักกินในเวลาอันสมควร นอนนึกถึงศีลของตน. แม้ลิงก็เข้าป่านำผล
มะม่วงมาวางไร้ที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่า จักกินในเวลาอันสมควร
นอนนึกถึงศีลของตน. ทั้ง 3 สัตว์ก็คิดว่า โอ ยาจก จะพึงมาที่นี่ไหมหนอ.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
สหายเหล่านั้นรับคำของเราว่า สาธุ แล้ว
ได้ตระเตรียมทานต่าง ๆ ตามสติกำลัง แล้ว

แสวงหาทักขิไณยบุคคล.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ออกในเวลาอันสมควร คิดว่า เราจักกินหญ้ามีหญ้า
แพรกเป็นต้นนอนที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่า เมื่อยาจกทั้งหลายมา
หาเรา ไม่อาจกินหญ้าได้. เราไม่มีแม้งาและข้าวสารเป็นต้น. หากยาจกมา
หาเรา. เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า. เราจักให้เนื้อในร่างกายของตน ดังที่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
เรานอนคิดถึงทานอันสมควรแก่ทักขิไณย-
บุคคลว่า ถ้าเราฟังได้ทักขิไณยบุคคล เราจัก
ให้อะไรเป็นทาน งา ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
ข้าวสาร และเปรียง ของเราไม่มี เราเลี้ยงชีวิต
ด้วยหญ้า เราไม่อาจให้หญ้าได้ถ้าทักขิไณย-
บุคคลมาสักท่านหนึ่ง เพื่อขอในสำนักของเรา
เราพึงให้ตนของตน ทักขิไณยบุคคลจักไม่ไป
เปล่า.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทานํ ทกฺขิณณุจฺฉวํ คือเราคิดถึงทานอัน
สมควร คือไทยธรรมที่ควรให้แก่ทักขิไณยบุคคล เพราะไม่มีทักขิไณย-
บุคคล. บทว่า ยทิหํ ลเภ คือผิว่าวันนี้เราพึงได้ทักขิไณยบุคคลไร ๆ. บทว่า
กึ เม ทานํ ภวิสฺสติ คือเราจักเอาอะไรให้เป็นทาน. บทว่า น สกฺกา

ติณทาตเว ความว่า ผิว่าเราไม่มีงาและถั่วเขียวเป็นต้น เพื่อให้แก่ทักขิไณย-
บุคคล เราไม่อาจให้หญ้าอันเป็นอาหารของเราได้. บทว่า ทชฺชาหํ สกมตฺ-
ตานํ
เราพึงให้ตนของตน ความว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะมามัวคิดเรื่อง
ไทยธรรม. ร่างกายของเรานี้แหละไม่มีโทษ สมควรเป็นอาหารบริโภคของ
ผู้อื่นทั้งหาได้ง่าย เพราะไม่ต้องพึ่งผู้อื่น หากทักขิไณยบุคคลคนหนึ่งมาหา
เรา. เราจะให้ตนของตนนี้แก่เขา. เมื่อเป็นดังนั้นเขามาหาเราก็จักไม่ไป
เปล่า คิดจักไม่มีมือเปล่าไป.
เมื่อพระมหาบุรุษปริวิตกถึงสภาพตามความเป็นจริงอย่างนี้ ด้วยอานุ-
ภาพแห่งความปริวิตกนั้น ปัณฑุกัมพลศิลาอาศน์ ขอท้าวสักกะก็แสดง
อาการร้อน ท้าวเธอรำพึงอยู่ ทรงเห็นเหตุนี้แล้วจึงดำริว่า เราจักทอดลอง
พระยากระต่ายจึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปที่อยู่ของนากก่อน ได้ประทับยืน
อยู่. เมื่อนากถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านยินอยู่เพื่ออะไร. ท้าวเธอตอบว่า
หากเราได้อาหารสักอย่าง เราจะรักษาอุโบสถ บำเพ็ญสมณธรรม. นาก
ตอบว่าสาธุ เราจักให้อาหารแก่ท่าน. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ปลาตะเพียนของเรามี 7 ตัว เพิ่งเอาขึ้น
จากน้ำวางไว้บนบก ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้ามี
สิ่งนี้แหละ เชิญท่านบริโภค แล้วอยู่ในป่าเถิด.

พราหมณ์กล่าวว่า รอไว้ก่อน. จักรู้ภายหลัง จึงไปหาสุนัขจิ้งจอก
และลิง เหมือนอย่างนั้น แม้สัตว์เหล่านั้นก็ต้อนรับด้วยไทยธรรมที่ตนมีอยู่
พราหมณ์กล่าวว่า รอไว้ก่อน จักรู้ภายหลัง. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ว่า :-
เนื้อย่างสองชิ้น เหี้ย หม้อนมส้ม ของคน
เฝ้านาโน้น ซึ่งข้าพเจ้านำมาเป็นอาหารกลางคืน
ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอาหารอย่างนี้แหละ
เชิญท่านบริโภคแล้วอยู่ในป่าเถิด. มะม่วงสุก
น้ำเย็น สถานที่ร่มรื่นเย็นสบาย ท่านพราหมณ์
ข้าพเจ้ามีอย่างนี้ เชิญท่านบริโภคแล้วอยู่ใน
ป่าเถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺส คือโน้น. บทว่า รตฺติ ภตฺตํ อปาภตํ
นำออกมา เพราะเป็นอาหารกลางคืน. บทว่า มํสสูลา จ เทฺว โคธา
คือเนื้อย่างสองชิ้น และเหี้ยตัวหนึ่ง. บทว่า ทธิวารกํ คือหม้อนมส้ม.
ต่อจากนั้นพราหมณ์จึงเข้าไปหาสสบัณฑิต. แม้เมื่อสสบัณฑิตถามว่า ท่าน
มาเพื่ออะไร ? พราหมณ์ก็บอกเหมือนอย่างนั้น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ว่า :-

ท้าวสักกะทรงทราบความดำริของเราแล้ว
จงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จเข้ามายัง
สำนักของเรา เพื่อทรงทดลองทานของเรา.
เราเห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็ยินดี. ได้กล่าวคำนี้
ว่า ท่านมาถึงในสำนักเรา เพราะเหตุแห่งอาหาร
เป็นการดีแล้ว วันนี้เราจักให้ทานอันประเสริฐ
ที่ใคร ๆ ไม่เคยให้แก่ท่าน. ท่านผู้ประกอบ
ด้วยศีลคุณ การเบียดเบียนผู้อื่นไม่ควรแก่ท่าน
ท่านจงไปเอาไม้ต่าง ๆ มาก่อไฟขึ้นเราจักย่างตัว
ของเรา ท่านจักได้กินเนื้อที่สุก พราหมณ์นั้น
รับคำแล้วมีใจร่าเริง นำเอาไม้ต่าง ๆ มาทำเป็น
เชิงตะกอนใหญ่ ทำเป็นห้องอันเต็มด้วยถ่าน
เพลิง ก่อไฟโพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันที เหมือน
ไฟนั้นเป็นกองใหญ่. เราสลัดตัวมีธุลี เข้าไป
อยู่ข้างหนึ่ง ในเมื่อกองไม้อันไฟติดทั่วแล้ว
เป็นควันตระลบอยู่ ในกาลนั้นเรากระโดดลงใน
ท่ามกลางระหว่างเปลวไฟ. น้ำเย็นอันผู้หนึ่ง

ผู้ใดดำลงแล้ว ย่อมระงับความกระวนกระวาย
และความร้อน ย่อมให้ความยินดีและปีติ ฉัน
ใด. ในกาลเมื่อเราเข้าไปยังไฟที่ลุกโพลง ก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ความกระวนกระวายทั้งปวง
ย่อมระงับ ดังดำลงในน้ำเย็นฉะนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มม สงฺกปฺปมญฺญาย คือท้าวสักกะทรง
ทราบความปริวิตก มีประการยังกล่าวแล้วในก่อน. บทว่า พราหมณวณฺณินา
คืออัตภาพเป็นรูปพราหมณ์. บทว่า อาสยํ คือพุ่มไม้เป็นที่อยู่. บทว่า
สนฺตุฏฺโฐ คือยินดีโดยส่วนทั้งปวงอย่างสม่ำเสมอ. บทว่า ฆาสเหตุ คือ
เพราะเหตุแห่งอาหาร. บทว่า อทินฺนปุพฺพํ คืออนใคร ๆ ที่มิใช่พระโพธิ-
สัตว์ไม่เคยให้. บทว่า ทานวรํ คือทานอันอุดม. สสปัณฑิตกล่าวว่า วันนี้
เราจักให้แก่ท่าน. ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ การเบียดเบียนผู้อื่นไม่สมควร
แก่ท่าน บัดนี้เพื่อจะเปลื้องพราหมณ์ออกจากการฆ่าสัตว์ แล้วทำตนให้
สมควรแก่การบริโภคของพราหมณ์นั้นแล้วให้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอหิ
อคฺคึ ปทีเปหิ
ท่านจงก่อไฟขึ้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อหํ ปจิสฺสมตฺตานํ เราจักย่างตัวของเรา
คือเมื่อท่านทำห้องอันเต็มด้วยล่านเพลิงแล้วเราจะโดดย่างตัวของเรา. บทว่า
ปกฺกํ ตฺวํ ภกฺขยิสฺสสิ คือ ท่านจะได้กินเนื้อที่สุกเช่นนั้น.

บทว่า นานากฏฺเฐ สมานยิ พราหมณ์นำเอาไม้ต่าง ๆ คือท้าวสักกะ
ผู้ทรงเพศเป็นพราหมณ์นั้น ได้เป็นดุจหาไม้ต่าง ๆ. บทว่า มหนฺตํ อกาสิ
จิตฺตกํ กตฺวาหนงฺครคพฺภกํ
นำเอาไม้ต่าง ๆ. มาทำเป็นเชิงตะกอนใหญ่ทำ
เป็นห้องอันเต็มด้วยถ่านเพลิง คือ พราหมณ์นั้นได้ทำเชิงตะกอนใหญ่ใน
ขณะนั้นทันที ปราศจากเปลว ปราศจากควัน ภายในเต็มไปด้วยถ่านเพลิง
ลุกโพลงอยู่โดยรอบ พอที่ร่างกายของเราจะดำลงไปได้. อธิบายว่า ท้าวสักกะ
รีบเนรมิตขึ้นด้วยฤทธิ์. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อฺคคึ ตตฺถ
ปทีเปสิ ยถา โส ขิป์ปํ มทาภเว
ก่อไฟโพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันที เหมือน
ไฟนั้นเป็นกองใหญ่.
ในบทเหล่านั้นบทว่า โส คือ พราหมณ์ได้ก่อเหมือนกองไฟนั้น
เป็นกองใหญ่ทันที. บทว่า โผเฏตฺรา รชคเต คตฺเต สลัดตัวอันมีธุลี
ความว่า สลัดตัวของเราอันมีฝุ่น 3 ครั้งด้วยคิดว่า หากมีสัตว์อยู่ในระหว่าง
ขน. สัตว์เหล่านั้นอย่าตายเสียเลย. บทว่า เอกมนฺตํ อุปาวสึ เราไปอยู่
ข้างหนึ่ง คือ เราเห็นว่ากองไม้ยังไม่ติดไฟ จึงเลี้ยงไปหน่อยหนึ่ง.
บทว่า ยมา มหากฏฺฐปุญฺโช, อาทิตฺโต ธมฺธมาผติ ในเมื่อกองไม้
อันไฟติดทั่วแล้ว เป็นควันและรมอยู่ ความว่า ในเมื่อกองไม้นั้นอันไฟติด
ทั่วแล้วโดยรอบเป็นควันตระหลบอยู่ ด้วยอำนาจแห่งเปลวไฟที่ก่อขึ้นด้วย
ความรวดเร็ว. บทว่า ตทุปฺปติตฺวา ปปตึ, มชฺเฌ ชาลสิขนฺตเร เรา
โดดลงในท่ามกลางระหว่างเปลวไฟ ความว่า ในกาลนั้นเราคิดว่ากองถ่าน

เพลิงนี้สามารถเผาร่างของเราได้ . จึงโดดลงไปให้ร่างทั้งสิ้นเป็นทานโดดลง
ในท่ามกลางกองล่านเพลิงนั้น ซึ่งอยู่ในระหว่างเปลวไฟ มีใจเบิกบานดุจ
พระยาหงส์โดดลงในกอประทุมฉะนั้น.
บทว่า ปวิฏฺฐํ ยสฺส กสฺสจิ น้ำเย็นอันผู้หนึ่งผู้ใดดำลงไป คือ
เหมือนในเวลาร้อน น้ำเย็นอันผู้หนึ่งผู้ใดดำลงไป ย่อมระงับความกระวน
กระวายเดือดร้อนของผู้นั้นได้ คือ ให้เกิดความพอใจและปีติฉันใด. บทว่า
ตเถว ชลิตํ อคฺคึ เราเข้าไปในไฟทูลุกโพลงก็ฉันนั้น คือ ในกาลเมื่อ
เราเข้าไปในกองถ่านเพลิงที่ลุกโพลงก็ฉันนั้น มิได้มีแม้แต่ความร้อน. โดย
ที่แท้ได้มีความระงับความกระวนกระวายเดือดร้อนทั้งปวง ด้วยความอิ่มใน
ทาน. สรีราพยพทั้งหมดมีขนและหนังเป็นต้นของเรา เข้าถึงความเป็นของ
ควรให้เป็นทาน. ความปรารถนาที่เราปรารถนาไว้ได้ถึงความสำเร็จแล้ว.
ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เราได้ให้แล้วซึ่งกายทั้งสิ้นโดยไม่เหลือ
คือ ขน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกและชิ้นเนื้อ
หัวใจ แก่พราหมณ์ ฉะนี้แล.

ในบทเหล่านั้นบทว่า หทยพนฺธนํ คือชิ้นเนื้อหัวใจ. จริงอยู่ชิ้น
เนื้อหัวใจนั้นท่านเรียกว่า หทยพันธนะ เพราะตั้งอยู่ดุจผูกไว้ซึ่งหทยวัตถุ.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หทยพนฺธนํ มีอธิบายว่า หทัย การผูก เนื้อหทัย

และเนื้อตับตั้งอยู่ดุจผูกไว้ซึ่งหทยวัตถุนั้น. บทว่า เกวลํ สกลํ กายํ
ได้แก่สรีระทั้งหมดไม่มีส่วนเหลือ.
แม้พระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถทำความร้อนแม้เพียงขุมขนในร่างกาย
ของตนในกองไฟนั้นได้ จึงทำเป็นดุจเข้าห้องหิมะกล่าวกะท้าวสักกะผู้ทรงรูป
เป็นพราหมณ์อย่างนี้ว่า ท่านพราหมณ์ท่านทำไฟให้เย็นจัดได้ ทำได้อย่างไร.
พราหมณ์กล่าวว่า ท่านบัณฑิตข้าพเจ้ามิใช่พราหมณ์ดอก. ข้าพเจ้าเป็นท้าว
สักกะ. มาทำอย่างนี้ก็เพื่อทดลองท่าน. พระโพธิสัตว์ได้บันลือสีหนาทว่า
ข้าแต่ท้าวสักกะช่างเถิด. หากว่า โลกทั้งสิ้นพึงทดลองข้าพเจ้าด้วยทาน.
ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะไม่ให้ของข้าพเจ้าคงไม่มีอีกแล้ว. ใครจะให้ทานเกิด
ขึ้น ท่านจะเห็นทานนั้นได้อย่างไรอีกเล่า.
ลำดับนั้นท้าวสักกะตรัสว่า ท่านสสบัณฑิตคุณธรรมของท่านจง
ปรากฏอยู่ตลอดกัปเถิด แล้วทรงบีบภูเขาคือเอายางภูเขาวาดลักษณะของ
กระต่ายไว้ ณ จันทมณฑลแล้วให้พระโพธิสัตว์นอนบนตั่งหญ้าแพรกอ่อนที่
พุ่มไม้ในราวป่านั้น แล้วเสด็จกลับเทวโลก. บัณฑิตทั้ง 2 แม้เหล่านั้นก็
สมัครสมานเบิกบานบำเพ็ญนิจศีลและอุโบสถศีล กระทำบุญตามสมควรแล้ว
ก็ไปตามยถากรรม.
นากในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์ในครั้งนี้. สุนัขจิ้งจอก คือ พระ-
มหาโมคคัลลานะ. ลิง คือ พระสารีบุตร. สสบัณฑิต คือ พระโลกนาถ.

แม้ในสสบัณฑิตจริยานี้ พึงเจาะจงกล่าวถึงศีลบารมีเป็นต้น ของ
สสบัณฑิตนั้นตามสมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่งพึง
ประกาศ คุณานุภาพของพระโพธิสัตว์ไว้ในที่นี้มีอาทิอย่างนี้ คือ เมื่อกุสล-
ธรรมเป็นต้นแม้มีอยู่ในกำเนิดเดียรัจฉานการรู้ตามความจริงจากกุสลเป็นต้น.
การเห็นโทษแม้มีประมาณน้อยในอกุสลเหล่านั้นโดยความเป็นของน่ากลัว
แล้วเว้นจากอกุสลเด็ดขาด. การตั้งตนไว้ในกุสลธรรมทั้งหลายโดยชอบ
เท่านั้น. การชี้แจงโทษแก่คนอื่นว่า ธรรมลามกชื่อนี้อันท่านถือเอาแล้ว
อย่างนี้ ลูบคลำแล้วอย่างนี้ ย่อมมีคติอย่างนี้ ในภพหน้าอย่างนี้แล้ว ชักชวน
ในการเว้นจากโทษนั้น. การชี้แจงถึงอานิสงส์ในการทำบุญโดยนัยมีอาทิว่า
เทวสมบัติ มนุษยสมบัติอยู่ในมือของผู้ตั้งอยู่ในทานศีลอุโบสถกรรมดังนี้แล้ว
ให้เขาดำรงอยู่. การไม่คำนึงถึงร่างกายและชีวิตของตน. การอนุเคราะห์
สัตว์เหล่าอื่น. และมีอัธยาศัยในทานอย่างกว้างขวาง. ดังที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เอวํ อจฺฉริยา เหเต ฯลฯ ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต
ความว่า :-
ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ น่า
อัศจรรย์ทั้งไม่เคยมีมา แม้เพียงใจเลื่อมใสใน
ท่านเหล่านั้นก็พึงพ้นจากทุกข์ได้ จะพูดไป
ทำไมถึงการทำตามท่านเหล่านั้น โดยธรรม
สมควรแก่ธรรมเล่า.

จบ อรรถกถาสสบัณฑิตจริยาที่ 10

บัดนี้จะกล่าวสรุปถึงจริยา 10 ประการ ตามที่กล่าวแล้วโดยนัยมี
อาทิว่า อกิตฺติพฺราหฺมโณ ดังนี้. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
อกิตติดาบส สังขพราหมณ์ พระเจ้า
ธนญชัยกุรุราช พระเจ้ามหาสุทัศนจักรพรรดิ-
ราช มหาโควินทพราหมณ์ พระเจ้าเนมิราช
จันทกุมาร พระเจ้าสิวิราช พระเวสสันดร
และสสบัณฑิต ผู้ให้ทานอันประเสริฐในกาล
นั้น เป็นเรานี่เอง ทานเหล่านี้เป็นบริวารแห่ง
ทาน เป็นทานบารมี เราได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่
ยาจก จึงยังบารมีนี้ให้เต็มได้.

ในบทเหล่านั้นบทว่า อหเมว ทา อาสึ ในกาลนั้นเป็นเรานี่เอง
คือ ผู้ใดได้ให้ทานอันประเสริฐเหล่านั้น คือ ผู้ใดได้ให้ทานอันอุดมเหล่านั้น.
ผู้นั้นมีอกิตติพราหมณ์เป็นต้น ในกาลนั้นได้เป็นเรานี่เอง มิใช่คนอื่น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกเทศนาขึ้นด้วยอำนาจแห่งทานบารมีเท่านั้น ทรง
หมายถึงความกว้างขวางอย่างยิ่งของอัธยาศัยในทาน ในครั้งนั้นของพระองค์
ในความเป็นผู้บำเพ็ญศีลบารมีเป็นต้น แม้มีอยู่ในอัตภาพทั้งหลายเหล่านั้น
ด้วยประการฉะนี้. บทว่า เอเต ทานปริกฺขารา, เอเต ทานสฺส ปารมี
ทานเหล่านี้เป็นบริวารของทาน เป็นทานบารมี ความว่า เราบริจาคไทย

ธรรมอันมีคุณมากมายในอกิตติชาดกเป็นต้น เราบริจาคอวัยวะและบุตร
ของเราเป็นครั้งสุดท้ายเหล่าใด การบริจาคเหล่านั้นเป็นทานบารมีเท่านั้น
ด้วยถึงความยิ่งยวดอย่างยิ่งของทาน เพราะเรายึดความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย
คือกรุณา เพราะเราบริจาคอุทิศพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นโดยแท้. แม้ถึง
อย่างนั้นทานเหล่านี้ก็เป็นบริวารแห่งทาน เพราะช่วยหนุนทานของเราให้
เป็นทานปรมัตถบารมี เพราะช่วยหนุนสันดานให้เจริญรอบ. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงถึงทานที่เป็นบริวารเหล่านั้น จึงตรัสว่า ชีวิตํ ยาจเก
ทตฺวา, อิมํ ปารมิ ปูรยึ
เราได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่ยาจก จึงยังบารมีนี้
ให้เต็มได้. จริงอยู่ในที่นี้พึงทราบทานบารมี ทานอุปบารมีใน 9 จริยา
ที่เหลือตามสมควรเว้นสสบัณฑิตจริยา. ก็เพราะในสสบัณฑิตจริยาเป็นทาน
ปรมัตถบารมี. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
เราเห็นยาจกเข้ามาเพื่อขอแล้ว ได้สละ
คนของตนให้ ความเสมอด้วยทานของเราไม่มี
นี้เป็นทานบารมีของเรา.

จริงอยู่ไม่มีการกำหนดอัตภาพที่บำเพ็ญทานบารมีของพระมหาบุรุษ
ในครั้งที่เสวยพระชาติเป็นอกิตติพราหมณ์เป็นต้นตามที่กล่าวแล้ว และใน
ครั้งที่เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนกและมหาสุตโสมเป็นต้น ก็จริง ถึง

อย่างนั้นก็พึงประกาศความเป็นปรมตัถบารมีแห่งทานบารมีในครั้งที่เสวย
พระชาติเป็นสสบัณฑิตโดยส่วนเดียวเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาอกิตติวรรคที่ 1

รวมจริยาที่มีในวรรคนี้ คือ


อกิตติดาบส สังขพราหมณ์ พระเจ้าธนญชัยกุรุราช พระเจ้า
มหาสุทัศนจักรพรรดิราช มหาโควินทพราหมณ์ พระเจ้าเนมิราช จันทกุมาร
พระเจ้าสิวิราช พระเวสสันดร และสสบัณฑิตผู้ให้ทานอันประเสริฐ ใน
กาลนั้น เป็นเรานี้เอง ทานเหล่านี้เป็นบริวารแห่งทาน. เป็นทานบารมี
เราได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่ยาจกจึงยังบารมีนี้ให้เต็มได้ เราเห็นยาจกเข้ามา
เพื่อขอแล้ว ได้สละตนของตนให้ ความเสมอด้วยทานของเราไม่มี นี้เป็น
ทานบารมีของเรา ฉะนี้แล ฯ
จบ การบำเพ็ญทานบารมีที่ 1